วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
การบ้านครั้งที่ 5 ส่งบทความวารสาร จำนวน 3 เรื่อง จากบทความต่างประเทศฐาน ERIC
เรื่องที่ 1
Thikryat Jibril Obied Qaralleh (2020) Role of School Administration in Providing an Attractive and Safe School Environment to Students under Vision 2030. Propósitos y Representaciones Sep. 2020, Vol. 8, SPE(3), e748
http://dx.doi.org/10.20511/pyr2020.v8nSPE3.748
This study aimed to identify the role of school administration in providing an attractive and safe school environment for students as one of the requirements to achieve Vision 2030 in public schools in Al-Kharj. A random sample of (16%) of the study population was selected. The questionnaire was distributed to all the study sample. The study has reached several results including: the average response was much higher when asked about the role of school administration in providing an attractive and safe school environment for students. Statistically significant differences between the mean values were observed from the samples towards educational stage in favor of the primary and secondary levels. The results also showed that there were statistically significant differences between the mean values of the respondents according to the gender variable in the tool as a whole in favor of females. The researcher suggested several recommendations such as improving the level of students to be creative individuals in their community, encouraging educational initiatives that contribute to creating an attractive and safe school environment, and encouraging local community institutions to make donations to the schools and involve them in developing the students psychological, cognitive and physical health
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุบทบาทของการบริหารโรงเรียนในการจัดหาสภาพแวดล้อมโรงเรียนที่น่าดึงดูดและปลอดภัยสำหรับนักเรียน โดยเป็นหนึ่งในข้อกำหนดในการบรรลุวิสัยทัศน์ 2030 ในโรงเรียนของรัฐในอัล-คาร์จ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่ม (16%) ของประชากรที่ศึกษา แบบสอบถามถูกแจกจ่ายให้กับกลุ่มตัวอย่างการศึกษาทั้งหมด การศึกษาได้บรรลุผลหลายประการ ได้แก่ การตอบสนองโดยเฉลี่ยสูงขึ้นมากเมื่อถามถึงบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการจัดหาสภาพแวดล้อมโรงเรียนที่น่าดึงดูดและปลอดภัยสำหรับนักเรียน ความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างค่าเฉลี่ยถูกสังเกตจากกลุ่มตัวอย่างไปสู่ขั้นตอนการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่ามีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างค่าเฉลี่ยของผู้ตอบแบบสอบถามตามตัวแปรเพศในเครื่องมือนี้โดยรวมสำหรับเพศหญิง ผู้วิจัยเสนอแนะข้อเสนอแนะหลายประการ เช่น การปรับปรุงระดับของนักเรียนให้เป็นบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์ในชุมชน ส่งเสริมการริเริ่มด้านการศึกษาที่มีส่วนช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่น่าดึงดูดและปลอดภัย และส่งเสริมให้สถาบันในชุมชนในท้องถิ่นบริจาคเงินให้กับโรงเรียนและมีส่วนร่วมในการพัฒนา ด้านสุขภาพจิต ความรู้ความเข้าใจ และสุขภาพกายของนักเรียน
เรื่องที่ 2
Sinan Tümtürk, Levent Deniz (2021). A Study of Developing an Organizational Reputation Management Scale for Schools* International Journal of Progressive Education, Volume 17 Number 5, 2021 © 2021 INASED , 33 - 47
DOI: 10.29329/ijpe.2021.375.3
Abstract
This study aims to develop a scale to measure the
organizational reputation of especially private schools and foreign private
schools in today's increasingly competitive environment. The study group of the
research consists of 320 individuals who are 9th, 10th,
11th and 12th grade students receiving education in private
and foreign private schools and teachers from different branches. In the
development phase of the scale, exploratory and confirmatory factor analyses
were conducted to ensure validity and reliability. As a result of validity and
reliability studies, the Organizational Reputation Management Scale for Schools
was obtained. The analysis result has revealed a scale structure that consists
of 7 dimensions and 38 items. Accordingly, the dimensions to determine the
organizational reputation of private schools are "Social Responsibility, Commitment
to School, Relations with Alumni, School Environment, Leadership, School
Management, and Financial Performance". It is expected that the scale to
be used by researchers and private schools will significant contributions to
the literature on organizational reputation management.
เรื่องที่ 3
Şenol SEZER, Ertuğ CAN (2020). School Happiness: A Grounded Theory. Educational Policy Analysis and Strategic Research, V 15, N 1, 2020 © 2020 INASED , 44 - 62
DOI: 10.29329/epasr.2020.236.3
Abstract
In this study, it was aimed to develop a school happiness theory based on the opinions of the teachers, school administrators, parents, and students. This study was designed in a qualitative grounded theory model. The study groups were 18 teachers, 14 school administrators, 13 parents, and 20 students. Snowball sampling method was used to determine the study groups. Twelve main qualifications were identified related to the school happiness. These main qualifications were physical equipment, school environment, learning environment, communication and collaboration, education policy, social activities, school management, teacher qualifications, school distinct, student centeredness, learning activities, and student qualifications. The results indicated that the priority level of the main qualifications varies from one participant group to another. The teachers give priority school environment, school management, and physical equipment. On the other hand school administrators give more priority to the school environment, physical equipment, and education policy for school happiness. The parents give more priority to the physical equipment, school environment, cooperation and communication for school happiness. In addition, the students give more priority to the learning environment, school environment, and physical equipment. According to these results, it can be suggested that school society should be in cooperation and communication for effective school environment, physical equipment should be coordinated for talent education, learning environment should be organized considering multi-faceted development of the students to increase school happiness.
ในการศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทฤษฎีความสุขในโรงเรียนโดยอาศัยความคิดเห็นของครู ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง และนักเรียน การศึกษานี้ได้รับการออกแบบในรูปแบบทฤษฎีพื้นฐานเชิงคุณภาพ กลุ่มการศึกษาประกอบด้วยครู 18 คน ผู้บริหารโรงเรียน 14 คน ผู้ปกครอง 13 คน และนักเรียน 20 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างก้อนหิมะเพื่อกำหนดกลุ่มการศึกษา มีการระบุคุณสมบัติหลักสิบสองประการที่เกี่ยวข้องกับความสุขของโรงเรียน คุณสมบัติหลักเหล่านี้ได้แก่ อุปกรณ์ทางกายภาพ สภาพแวดล้อมของโรงเรียน สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ การสื่อสารและการทำงานร่วมกัน นโยบายการศึกษา กิจกรรมทางสังคม การจัดการโรงเรียน คุณสมบัติของครู ความแตกต่างของโรงเรียน ความเป็นศูนย์กลางของนักเรียน กิจกรรมการเรียนรู้ และคุณสมบัติของนักเรียน ผลการวิจัยพบว่าระดับความสำคัญของคุณสมบัติหลักแตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มผู้เข้าร่วม ครูให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมของโรงเรียน การจัดการโรงเรียน และอุปกรณ์ทางกายภาพ ในทางกลับกัน ผู้บริหารโรงเรียนให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมของโรงเรียน อุปกรณ์ทางกายภาพ และนโยบายการศึกษาเพื่อความสุขในโรงเรียนมากกว่า ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ทางกายภาพ สภาพแวดล้อมในโรงเรียน ความร่วมมือและการสื่อสารเพื่อความสุขในโรงเรียนมากขึ้น นอกจากนี้ นักเรียนให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ สภาพแวดล้อมในโรงเรียน และอุปกรณ์ทางกายภาพมากขึ้น จากผลลัพธ์เหล่านี้ เสนอแนะได้ว่าสังคมโรงเรียนควรร่วมมือกันและสื่อสารเพื่อสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพ อุปกรณ์ทางกายภาพควรได้รับการประสานงานเพื่อการศึกษาที่มีความสามารถ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ควรมีการจัดระเบียบโดยคำนึงถึงการพัฒนาหลายด้านของนักเรียนเพื่อเพิ่มความสุขในโรงเรียน
วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
Internal Control Management in Budget of Basic School under the Office of Kalasin Primary Educational Service Area 2
Ariratana Wallapha, Treputtarat Saowanee, Tang Keow Ngang (2013). Internal control management in budget of basic school under the office of Kalasin Primary Educational Service Area 2. Procedia - Social and Behavioral Sciences 93 (2013) 1281 – 1285
Abstract
The main purpose of this study is to recommend guidelines on the internal control management in budget of Basic School under the jurisdiction of the Office of Kalasin Primary Educational Service Area 2. The researchers explored the situation of internal control management and compared the differences of internal control management in budget of Basic School in terms of the different sizes of schools. The methodology employed in this study was the mixed mode method, survey design and structured interview and focus group discussion. This study was carried out in three phases. The findings showed that the officers lacked knowledge and comprehension in the determination of policy and practice, experience and skill in work practice, information technology system without continuous follow-up. Guidelines focusing on control environment management, risk evaluation, control activity, information communication and technology, and follow-up and evaluation were proposed and recommended.
วัตถุประสงค์หลักของการศึกษานี้คือ เพื่อแนะนำแนวทางการบริหารการควบคุมภายในด้านงบประมาณของโรงเรียนพื้นฐานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ที่ 2 โดยผู้วิจัยได้สำรวจสถานการณ์การจัดการการควบคุมภายในและเปรียบเทียบความแตกต่างของการควบคุมภายใน การบริหารงบประมาณของโรงเรียนพื้นฐานในแง่ของขนาดโรงเรียนต่างๆ วิธีการที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ วิธีแบบผสม การออกแบบการสำรวจและการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและการสนทนากลุ่ม การศึกษานี้ดำเนินการในสามขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า เจ้าหน้าที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติ ประสบการณ์และทักษะในการทำงาน ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโดยไม่มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง มีการเสนอและแนะนำแนวทางที่เน้นการจัดการสภาพแวดล้อมการควบคุม การประเมินความเสี่ยง กิจกรรมการควบคุม การสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนการติดตามและประเมินผล
วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
Workshop 4 วารสารจำนวน 3 เรื่อง
เรื่องที่ 1
อุบล มีแสง, อรสา จรูญธรรม และสุวรรณาโชติสุกานต์ (2556) การบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนในจังหวัดปทุมธานี วารสารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปีที่7 ฉบับที่2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556 หน้า 127 - 140
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนในจังหวัดปทุมธานี และเพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานงบประมาณ ของโรงเรียนในจังหวัดปทุมธานี จําแนกตามประสบการณ์การทํางาน และประเภทของโรงเรียนประชากรคือบุคลากรที่ปฏิบัติงานในงานงบประมาณของโรงเรียนในจังหวัดปทุมธานี จํานวน 553คน กลุ่มตัวอย่างคํานวณจากสูตรของ ทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane)ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95% ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 232 คน เครื่องมือที่ใช่เก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามแบบมาตรส่วนประมาณค่ามีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ทดสอบที (t-test) สําหรับกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน(Independent Samples)ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.05
เรื่องที่ 2
ตุลยภาค ตุยาสัย และพัชรีวรรณ กิจมี (2561) การบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของโรงเรียนประถมศึกษา:แนวทางสําหรับการบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนประถมศึกษา
วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น ปีที่ 12 ฉบับ Supplement (2561) หน้า 98 - 112
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของโรงเรียนประถมศึกษาและเพื่อศึกษาแนวทางสําหรับการบริหารงานงบประมาณของโรงเรียนประถมศึกษาใน ตําบลลี้ และตําบลวังดิน อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน ผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยได้แก่ผู้อํานวยการโรงเรียน เจ้าหน้าที่การเงิน และบุคลากรที่ทําหน้าที่ทางการเงินของโรงเรียนปีการศึกษา 2559 รวมทั้งสิ้นจํานวน 25 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างรวบรวมข้อมูลโดยการวิเคราะห์และสังเคราะห์ เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านสภาพการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของโรงเรียนประถมศึกษาแสดงให้เห็นว่าโรงเรียนประถมศึกษาได้ปฏิบัติตามกระบวนการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานครบทั้ง 7 ด้านได้แก่ 1.1) ด้านการวางแผนงบประมาณ มีการจัดสรรงบประมาณโครงการพร้อมจัดประชุมชี้แจงแผนงบประมาณให้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง 1.2) ด้านการคํานวณต้นทุนผลผลิต ได้มีการคํานวนต้นทุนของโครงการต่างๆในกระบวนการดําเนินงาน 1.3) ด้านการจัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง โรงเรียนได้ดําเนินขั้นตอนตามระเบียบพัสดุพ.ศ. 2535 1.4) ด้านการบริหารทางการเงินและการควบคุมงบประมาณมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่การเงินเพื่อบริหารงานบัญชี 1.5) ด้านการบริหารสินทรัพย์โรงเรียน ได้ตรวจสอบความต้องการสินทรัพย์มีการควบคุมตรวจสอบพัสดุครุภัณฑ์ตามระบบ 1.6) ด้านการรายงานทางการเงินและผลการดําเนินงาน จะมีการรายงานผลการดําเนินงานเป็นวาระให้กับหน่วยงานต้นสังกัดรับทราบ 1.7) ด้านการตรวจสอบภายใน โรงเรียนได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบภายในพร้อมทั้งให้รับการตรวจสอบภายในจากหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อแสดงถึงการบริหารงบประมาณที่โปร่งใส 2) การศึกษาสภาพปัญหาของการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานแสดงให้เห็นถึงปัญหางบประมาณไม่เพียงพอต่อ การดําเนินโครงการบุคลากรด้านการเงินภายในโรงเรียนส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจในระเบียบและวิธีการบริหารงบประมาณที่ถูกต้องเหมาะสมอีกทั้งยังบกพร้องในกระบวนการคํานวณต้นทุนผลผลิตขาดความชํานาญในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและขาดการเชื่อมโยงของขั้นตอนในการบริหารงบประมาณภายในโรงเรียน 3) ข้อเสนอแนะและแนวทางในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานต้องเชื่อมโยงการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานทั้ง 7 ด้านเข้าด้วยกัน เพื่อให้การบริหารงบประมาณเกิดประสิทธิภาพอาจต้องจํากัดจํานวนโครงการให้เหลือเฉพาะโครงการสําคัญซึ่งจะช่วยให้การบริหารงบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้นมีการส่งเสริมเด็กนักเรียนให้สามารถนําวิชาความรู้ไปปฏิบัติ เพื่อหารายได้โดยครูจะช่วยส่งเสริมหรือจัดตั้งเป็นชมรมและการบริหารงบประมาณไม่ได้มีวิธีการเฉพาะเจาะจง ผู้อำนวยการ เจ้าหน้าที่การเงิน และบุคลกรที่ทําหน้าที่ด้านการเงินจะต้องมีการสื่อสารกับบุคลากรอื่นภายในโรงเรียนเพื่อช่วยออกแบบวิธีการบริหารงบประมาณให้ไปในทิศทางเดียวกัน
เรื่องที่ 3
ราชัน คำบุญเรือง, มนต์นภัส มโนการณ์ และยงยุทธ ยะบุญธง (2560) คู่มือการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุของโรงเรียนอนุบาลบ้านท่อเมืองลังจังหวัดเชียงใหม่
วาระสารVeridian E-Journal,Silpakorn University ปีที่ 10 ฉบับที่ 3เดือนกันยายน–ธันวาคม 2560 หน้า 86 - 103
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหาและข้อเสนอแนะการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุของโรงเรียนอนุบาลบ้านท่อเมืองลัง จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุของโรงเรียนอนุบาลบ้านท่อเมืองลัง จังหวัดเชียงใหม่ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม 3) เพื่อตรวจสอบคุณภาพของคู่มือการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุของโรงเรียนอนุบาลบ้านท่อเมืองลัง จังหวัดเชียงใหม่กลุ่มเป้าหมาย 1) การจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุประกอบด้วย ผู้ปฏิบัติงานพัสดุ ผู้เกี่ยวข้องกับปฏิบัติงานพัสดุและผู้รับบริการงานพัสดุ รวม 18 คน 2) การตรวจสอบคุณภาพของคู่มือการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุ จ านวน 5 คน รวมกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 23 คนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ 2) แบบสัมภาษณ์เชิงลึก 3) แบบสังเกตการณ์น าคู่มือการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุไปปฏิบัติ 4) แบบบันทึกประชุม 5) แบบตรวจสอบคุณภาพของคู่มือการปฏิบัติงานการควบคุมพัสดุ 6) แบบบันทึกกิจกรรมการถอดบทเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอในรูปแบบตารางประกอบคำบรรยาย
วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
รัตนา กลุ่มแก้ว และคณะผู้จัดทำ (2564) สภาพและแนวทางการบริหารงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ วารสารการบริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ปีที่ 9 ฉบับที่ 35 เมษายน-มิถุนายน 2564 หน้า 173-182
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงานและขนาดสถานศึกษา 3) ศึกษาปัญหาและแนวทางการบริหารงบประมาณของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2562 รวมทั้งสิ้น 234 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 16 คน ครู จำนวน 218 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น .93 และแบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและแนวทางการบริหารงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และ F-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ตรวจสอบ ความแตกต่างค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่โดยวิธีการตรวจสอบความแตกต่างของ Scheffe’ผลการวิจัย พบว่า
1. สภาพการบริหารงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ โดยรวมมีสภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก
2. เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และครูเกี่ยวกับสภาพและแนวทางการบริหารงบประมาณของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดศรีสะเกษ จำแนกตามตำแหน่งและประสบการณ์ทำงาน พบว่า ไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565
การบริหารพัสดุของสถานศึกษา สังกัดกรมอาชีวศึกษาในจังหวัดเชียงราย
ชื่อวิทยานิพนธ์ | การบริหารพัสดุของสถานศึกษา สังกัดกรมอาชีวศึกษาในจังหวัดเชียงราย Inventory Management of Vocational Education Institutes in Chaing Rai Province |
ชื่อนิสิต | วัชรี แสนสิงห์ชัย Watcharee Saensingchai |
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา | อ ดร อัมพร ศิริบุญมา อ ดร พนมพร จันทรปัญญา อ องอาจ โฆษชุณหนันท์ Lect Dr Umporn Siriboonma Lect Dr Panomporn Chantarapanya Lect Ong-Ard Kosashunhanan |
ชื่อสถาบัน | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. บัณฑิตวิทยาลัย Chiang Mai University. Chiang Mai (Thailand). Graduate School |
ระดับปริญญาและรายละเอียดสาขาวิชา | วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. ศึกษาศาสตร์ (การบริหารการศึกษา) Master. Education (Educational Administration) |
ปีที่จบการศึกษา | 2540 |
บทคัดย่อ(ไทย) | การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการบริหารพัสดุของสถานศึกษา สังกัดกรม อาชีวศึกษาในจังหวัดเชียงราย ประชากรที่ใช้ศึกษาเป็นผู้บริหารและหัวหน้างานของสถานศึกษา สังกัดกรมอาชีวศึกษา ในจังหวัดเชียงราย ที่ปฏิบัติราชการอยู่ในปีการศึกษา 2540 จำนวน 126 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเลือกตอบ ข้อมูลที่ได้นำมาวิเคราะห์โดยใช้ร้อยละ ผลการศึกษาพบว่าการบริหารพัสดุของสถานศึกษา สังกัดกรมอาชีวศึกษาในจังหวัดเชียงราย มีการจัดระบบการบริหารพัสดุ การจัดหาใช้วิธีการที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 โดยคำนึงถึงงบประมาณ การแจกแจ่ายพัสดุพิจารณาจากแผนงาน และโครงการของสถานศึกษา การควบคุมพัสดุมีการควบคุมการจัดหาและมีการควบคุมทางบัญชี การบำรุงรักษาพัสดุโดยการกำหนดบุคคลรับผิดชอบการจำหน่ายพัสดุใช้การจำหน่ายโดยการขาย มากที่สุด |
บทคัดย่อ(English) | This study investigated inventory management of Vocational Education Institutes in Chiang Rai Province. The population under study comprised 126 administrators and supervisors who were on active duty at the Institutes during the 1997 academic year. The instrument used was a checklist questionnaire. Whereupon, the collected data were analyzed through the application of percentage. The findings indicated that Vocational Education Institutes in Chiang Rai Province had a system of inventory management. According to the 1992 Regulations of the Office of Prime Minister on Inventory Management, consideration on budget was stressed. Inventory distributions were considered from the Institutes plannings and projects. Inventory controls and stock controls were procured. Inventory maintenances were assigned to responsible personnel. The most preferred method for inventory disposal was to sell off. |
การศึกษาการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาญจนบุรี
ปัจจัยและกระบวนการในการเลือกซื้อวัสดุสำนักงานของหน่วยงานภาครัฐในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
การบริหารงานพัสดุในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสมุทรปราการ
การบริหารงานพัสดุในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดสมุทรปราการ
รีวิว อบรมการจัดการเรียนรู้ Active Learning
https://www.youtube.com/watch?v=_Yoh9vBJIkY&t=616s
-
ชื่อวิทยานิพนธ์ การบริหารพัสดุของสถานศึกษา สังกัดกรมอาชีวศึกษาในจังหวัดเชียงราย Inventory Management of Vocational Education Institutes in...